Friday, March 4, 2011

หญ้าหวาน สุดยอดสารทดแทนความหวานจากธรรมชาติ

เป็นพืชพื้นเมืองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศปารากวัย ในทวีปอเมริกาใต้ ความพิเศษของหญ้าหวาน คือ ส่วนของใบให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 10-15 เท่า แต่ความหวานนี้ไม่ก่อให้เกิดพลังงานแต่อย่างไร (0 แคลอรี/กรัม) นอกจากนี้ยังมีสารสกัดที่เกิดจากหญ้าหวานชื่อว่า สตีวิโอไซท์ (stevioside) เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่า 200-300 เท่าของน้ำตาล ด้วยความพิเศษของหญ้าหวานนี้ หญ้าหวานจึงเป็นพืชที่ได้รับความสนใจทั้งทางด้านอุตสาหกรรม การแพทย์ ยาสมุนไพร และเครื่องดื่ม เป็นต้น

สรรพคุณของหญ้าหวาน
-ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 200-300เท่าแต่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
-ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
-ช่วยบำรุงตับอ่อน
-ช่วยเพิ่มกำลัง
-สมานแผลทั้งภายในและภายนอก
-ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมอง

ข้อควรระวัง!
ในเมืองไทยมีผู้ผลิตและจำหน่ายสารสกัดจากหญ้าหวานมากมาย ในการเลือกซื้อจะต้องอ่านฉลากให้ลเอียด เพราะมีหลายยี่ห้อที่มีสารเติมเต็มเช่น multodextrin ที่เป็นสารจำพวกแป้งที่เข้ากระแสเลือดได้เร็วพอๆกับน้ำตาลทราย จึงควรเลือกที่มีสารสกัดจากหญ้าหวานหรือ stevioside 95% ขึ้นไปเท่านั้น

เรื่องหวานหวาน ข้อควรระวังเกี่ยวกับน้ำตาลทราย

เมื่อไม่นานมานี้ เราได้อ่านข้อความหนึ่ง ในวารสารที่แนบมาพร้อมหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับภัยของน้ำตาลทราย มีการวิจัยพบว่าน้ำตาลทรายที่มีอยู่ตามท้องตลาดหรือที่เรียกกันว่า refined sugar นั้นเป็นภัยต่อร่างกายมาก

Dr William Coda Martin คุณหมอนักโภชนาการชาวอเมริกันกล่าวว่า น้ำตาลทรายนั้น คือสารพิษดีๆนี่เอง เพราะกรรมวิธีการฟอกขาวนั้นทำให้ไม่เหลือคุณค่าทางอาหารเลย โปรตีน วิตามิน เอ็นไซม์และแร่ธาตุต่างๆถูกฟอกออกไปจนหมด เหลือใว้แต่คาร์โบไฮเดรต ที่พร้อมจะแปรสภาพเป็นไขมันและแคลเซี่ยมสังเคราะห์ทางเคมี ทีเป็นอันตรายต่อสุขภาพเท่านั้น!! น้ำตาลทรายแฝงตัวอยู่ในอาหาร เครื่องดื่ม ซอสต่างๆ ที่เราบริโภคทุกวัน! เมื่อน้ำตาลทรายที่ปราศจากสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ระบบเผาผลาญต้องทำงานหนักเป็นพิเศษและต้องดึง calcium potassium sodium และ magnesium จากส่วนต่างๆ ของร่างกายออกมาเพื่อช่วยกำจัดพลังงานส่วนเกินออกไป ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ เพราะสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็น ส่วนที่กำจัดออกไปไม่หมด จะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกินและแปรสภาพเป็น abnormal fat ต่อไป เมื่อ calcium ในร่างกายลดน้อยลง โอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนหรือ osteoporosis ก็มากขึ้น เมื่อร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น สารพิษตกข้างก็มากขึ้น อาจทำให้เกิด carbonic poisoning เป็นพิษในกระแสเลือดได้ เลือดที่ข้นเหนียวที่เกิดจารการบริโภคน้ำตาลทรายมากเกินไป อาจไปหล่อเลี้ยงเหงือกและฟันไม่ถึง ทำให้ฟันไม่แข็งแรงและปากเหม็น นอกจากนี้ การที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงในผู้ป่วยโรคมะเร็ง จะทำให้เชื้อมะเร็งเจริญเติบโตเร็วขึ้น

นักโภชนาการตะวันตกได้ทำการวิจัยค้นคว้า เพื่อหาน้ำตาลชนิดอื่นเพื่อทดแทนน้ำตาลทราย พบว่าน้ำตาลมะพร้าว 100% เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะมีสารอาหารมากมาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ phytonutrients nitrogen potassium calcium magnesium zinc manganese iron วิตามิน B1 B2 B3 และ B6 ข้อควรระวังคือ น้ำตาลมะพร้าว 100% ก็มีแคลอรี่สูงเช่นเดียวกันกับน้ำตาลทราย แต่เนื่องจากมี glycemic index (GI) ที่ต่ำกว่าจึงเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้ากว่า อาหารที่มีค่า GI ที่ต่ำยังสามารถลด LDL cholesterol ได้ด้วย

นอกจากน้ำตาลมะพร้าว 100% จะหอมหวานรสชาติกลมกล่อมแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขณะที่กำลังลดน้ำหนักโดยเฉพาะในเฟส 2 และ 3 น้ำตาลมะพร้าว 100% ก็ยังเป็นของต้องห้ามอยู่ดี สารทดแทนความหวานเพียงอย่างเดียวที่ใช้ได้คือหญ้าหวาน หรือ stevia เท่านั้น

Tuesday, March 1, 2011

เฟส 4 กับการกลับมากินแป้ง

ในตอนแรก รู้สึกกลัวมากที่จะกลับมากินอาหารจำพวกแป้งเช่นข้าวและขนมปัง เพราะไม่ได้กินมานานจนคิดว่า ร่างกายอาจไม่สามารถย่อยแป้งและน้ำตาลได้เหมือนเดิม แต่ตั้งแต่เริ่มเฟส 4 มาได้ 4 วันเราก็เริ่มหัดกินแป้งอีกครั้งโดยค่อยๆเพิมทีละ 1 ช้อนโต๊ะ วันแรกกินข้าว 1 คำ วันที่สอง 2 คำ จนวันนี้เพิ่มเป็น 4 คำ ต้องคอยชั่งน้ำหนักทุกวัน ถ้าน้ำหนักเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ก็แสดงว่ากินแป้งมากไปแล้ว เราเริ่มจากการเพิ่มแป้งก่อนโดยยังไม่กินน้ำตาลเลย ตอนนี้น้ำหนักยังคงที่ ไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่ถ้าเป็นสูตรลดน้ำหนักแบบอื่นที่เคยลองมา น้ำหนักคงขึ้นแล้วแน่ๆ Dr. Simeons บอกว่า เนื่องจากการลดน้ำหนักด้วย hcg เป็นการรักษาโรคอ้วนที่ต้นเหตุ ดังนั้น น้ำหนักที่ลดลงจะไม่กลับเพิ่มขึ้นมาอีก แม้คนไข้จะกลับไปกินอาหารทุกชนิดที่เคยกิน ตราบไดที่อยู่ในปริมานที่เหมาะสมต่อร่างกายของแต่ละคน แต่หากกินเกินปริมานที่จำเป็น หรือที่เรียกว่า over eating ก็จะอ้วนอีกแน่นอน ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้เลยว่าปริมานที่เหมาะสมมันเท่าไหร่ เราได้แต่เปรียบเทียบว่าเราก็กินเท่าๆกับคนอื่น เราเพิ่งรู้ว่านั่นเป็นวิธีที่ผิด เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน แปลกที่เมื่อก่อนเราเคยอิจฉาคนที่กินขนมนมเนยได้ทั้งว้น โดยที่ไม่อ้วน แต่ตอนนี้เราไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เรารู้ว่าอีกไม่นานเราก็กินขนมได้ แต่จะอยากกินหรือเปล่านั้นอีกเรื่องหนึ่ง